เครื่องมือชิ้นแรกที่พระเจ้าใช้เปลี่ยนแปลงเรา คือ “พระคัมภีร์” พระองค์สอนวิธีดำเนินชีวิตแก่เราผ่านถ้อยคำของพระองค์ ใน 2 ทิโมธี 3:16-17 บอกว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิดและการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง” พระคัมภีร์ได้เปลี่ยนชีวิตของคุณไหม?
ผมเคยได้ยินเรื่องมนุษย์กินคนบนเกาะแถบทะเลใต้ที่หันมาเชื่อพระเจ้า เขากำลังนั่งอ่านพระคัมภีร์อยู่ข้างหม้อขนาดใหญ่ขณะที่นักมานุษยวิทยาซึ่งสวมหมวกไม้แข็งเดินเข้ามาถามว่า “กำลังทำอะไรอยู่” คนพื้นเมืองนั้นตอบว่า “กำลังอ่านพระคัมภีร์” นักมานุษยวิทยาจึงเหน็บว่า “ไม่รู้หรือว่าคนมีอารยธรรมสมัยใหม่เค้าไม่เอาเล่มนี้กันแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากรวบรวมคำโกหกไว้ทั้งเพ อย่าเสียเวลาอ่านดีกว่า” มนุษย์กินคนนั้นจึงมองเขาหัวจรดเท้าก่อนตอบช้าๆว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะหนังสือเล่มนี้ล่ะก็ท่านลงไปอยู่ในหม้อนี้แล้วนะจะบอกให้”
พระวจนะของพระเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตเขารวมทั้งความนิยมชมชอบเรื่องอาหารการกินของเขาด้วย ถ้าคุณอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริง ๆ ต้องอ่านพระคัมภีร์ คุณต้องอ่าน ศึกษา ท่องจำ ใคร่ครวญ และนำมาใช้
เครื่องมือชิ้นที่สองที่พระเจ้าทรงใช้เปลี่ยนแปลงเราคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เมื่อเราอุทิศตัวแด่พระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเสริมกำลังและนำทางเรา พระวิญญาณพระเจ้าให้กำลังใหม่ ความกระฉับกระเฉง ความปรารถนา และพลังที่จะทำสิ่งถูกต้องแก่เรา เมื่อพระวิญญาณพระเจ้าทำงานในเรา เราก็เหมือนพระองค์มากขึ้น ๆ จุดประสงค์แรกของพระเจ้าในชีวิตคุณคือ ทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณพระเจ้าใช้ถ้อยคำของพระองค์ทำให้ลูก ๆ ของพระองค์เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์มากขึ้น แล้วพระเยซูเป็นยังไงหรือ ชีวิตพระองค์บนโลกนี้ประมวลไว้ซึ่งผลพระวิญญาณทั้งเก้าได้แก่ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนสุภาพ และการรู้จักบังคับตน
วิธีดีเลิศที่สุดของพระเจ้าในการปรับเปลี่ยนเราคือ ให้เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อค้นหาว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร และจากนั้นพึ่งพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในเราเพื่อช่วยให้เราทำได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเราส่วนใหญ่หัวแข็ง และไม่ยอมเปลี่ยนตามง่าย ๆ อย่างนั้น พระเจ้าจึงต้องใช้เครื่องมืออย่างที่สามเข้ามาช่วย คือ สถานการณ์ ผมกำลังหมายถึง ปัญหาและแรงกดดัน เรื่องปวดร้าวใจ ความยุ่งยากลำบาก และความเครียด เพราะสิ่งเหล่านี้มักกระตุกความสนใจของเราได้ดี ซี.เอส.ลูอิส เคยกล่าวไว้ว่า “พระเจ้ากระซิบกับเราในยามสุข แต่ตะโกนใส่เราในความเจ็บปวด” โรม 8:28-29 ในฉบับแปลบางเล่มกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่รักพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกตามแผนการของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะพอเหมาะพอดีกับรูปแบบที่เตรียมไว้เพื่อให้เกิดผลดี เพราะพระเจ้า…เลือกเขาเหล่านั้นเพื่อให้คงลักษณะที่เหมือนพระบุตรของพระองค์ไว้ในครอบครัว” ไม่มีอะไรกล้ำกรายชีวิตผู้เชื่อพระเจ้าได้หากพระบิดาในสวรรค์ไม่อนุญาต มันต้องได้รับ “การกลั่นกรองจากพระบิดา”เสียก่อน
จุดน่าสนใจเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าใช้สถานการณ์ต่าง ๆ คือ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นมีที่มาอย่างไร ก็ไม่มีผลอะไรต่อพระองค์ เรามักหาเรื่องใส่ตัวเองบ่อย ๆ จากการตัดสินใจผิด ๆ วิจารณญาณไม่ถูกต้อง หรือบาปของเราเอง หรือบางครั้งความเดือดร้อนของเราอาจเกิดจากคนอื่นก็ได้ หรือบางทีวิญญาณชั่วก็หาเรื่องให้เราอย่างที่มันทำกับโยบเหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ว่าสถานการณ์เกิดจากอะไรก็ไม่เกี่ยว “เราจะใช้สถานการณ์นั้น ๆ ในชีวิตเจ้า” พระองค์กล่าว “เราจะจัดให้มันลงรอบตามแบบแผนของเรา และให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนใหญ่ที่เราวางไว้สำหรับชีวิตเจ้า เพื่อให้เจ้าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง” ฉะนั้น จึงไม่มีสถานการณ์ใดในชีวิตที่เราไม่สามารถเรียนรู้จากมันได้ ขอเพียงแต่ให้มีทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้น สุภาษิต 20:30 ยังแถมข่าวดีอีกว่า “การเฆี่ยนที่ให้เป็นบาดแผลก็ชำระความชั่วเสีย การโบยตีกระทำให้ส่วนลึกที่สุดสะอาดสะอ้าน” บางทีคุณอาจได้ประสบกับความจริงในข้อนี้เข้าแล้ว บางทีมันต้องใช้ประสบการณ์เจ็บปวดถึงจะทำให้เราปรับเปลี่ยนอะไร ๆ ที่ทำอยู่ได้ พูดอีกอย่างคือ คนเราไม่ยอมเปลี่ยนง่าย ๆ เวลาเห็นแสงสว่างเหมือนกับเวลาที่รู้สึกร้อน ทำไมน่ะหรือ!
เราจะยอมเปลี่ยน ก็ต่อเมื่อ เกิดความเจ็บปวดมากจนลืมกลัวการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง พระเจ้าพูดกับเราผ่านพระคัมภีร์ และการเร้าใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่ถ้าพระองค์ไม่ได้รับความสนใจจากเราพระองค์ก็จะใช้สถานการณ์ร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์กล่าวว่า เราควรถ่อมใจ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราถ่อมใจ แต่ถ้าเราไม่ถ่อมใจเอง พระองค์จะใช้สถานการณ์ทำให้เราถ่อมลงจนได้ พระเจ้าสามารถใช้ทุก ๆ สถานการณ์ในชีวิตเพื่อให้เราเติบโต นี่คือ หน้าที่ของพระองค์ แล้วหน้าที่ในส่วนของเราล่ะ!
คัดลองมากจากหนังสือพลังเปลี่ยนชีวิต โดย ริค วอร์เร็น
วิธีดีเลิศที่สุดของพระเจ้าในการปรับเปลี่ยนเราคือ ให้เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อค้นหาว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร และจากนั้นพึ่งพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในเราเพื่อช่วยให้เราทำได้ แต่น่าเสียดายที่พวกเราส่วนใหญ่หัวแข็ง และไม่ยอมเปลี่ยนตามง่าย ๆ อย่างนั้น พระเจ้าจึงต้องใช้เครื่องมืออย่างที่สามเข้ามาช่วย คือ สถานการณ์ ผมกำลังหมายถึง ปัญหาและแรงกดดัน เรื่องปวดร้าวใจ ความยุ่งยากลำบาก และความเครียด เพราะสิ่งเหล่านี้มักกระตุกความสนใจของเราได้ดี ซี.เอส.ลูอิส เคยกล่าวไว้ว่า “พระเจ้ากระซิบกับเราในยามสุข แต่ตะโกนใส่เราในความเจ็บปวด” โรม 8:28-29 ในฉบับแปลบางเล่มกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่รักพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกตามแผนการของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะพอเหมาะพอดีกับรูปแบบที่เตรียมไว้เพื่อให้เกิดผลดี เพราะพระเจ้า…เลือกเขาเหล่านั้นเพื่อให้คงลักษณะที่เหมือนพระบุตรของพระองค์ไว้ในครอบครัว” ไม่มีอะไรกล้ำกรายชีวิตผู้เชื่อพระเจ้าได้หากพระบิดาในสวรรค์ไม่อนุญาต มันต้องได้รับ “การกลั่นกรองจากพระบิดา”เสียก่อน
จุดน่าสนใจเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าใช้สถานการณ์ต่าง ๆ คือ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นมีที่มาอย่างไร ก็ไม่มีผลอะไรต่อพระองค์ เรามักหาเรื่องใส่ตัวเองบ่อย ๆ จากการตัดสินใจผิด ๆ วิจารณญาณไม่ถูกต้อง หรือบาปของเราเอง หรือบางครั้งความเดือดร้อนของเราอาจเกิดจากคนอื่นก็ได้ หรือบางทีวิญญาณชั่วก็หาเรื่องให้เราอย่างที่มันทำกับโยบเหมือนกัน แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ว่าสถานการณ์เกิดจากอะไรก็ไม่เกี่ยว “เราจะใช้สถานการณ์นั้น ๆ ในชีวิตเจ้า” พระองค์กล่าว “เราจะจัดให้มันลงรอบตามแบบแผนของเรา และให้เป็นส่วนหนึ่งในแผนใหญ่ที่เราวางไว้สำหรับชีวิตเจ้า เพื่อให้เจ้าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง” ฉะนั้น จึงไม่มีสถานการณ์ใดในชีวิตที่เราไม่สามารถเรียนรู้จากมันได้ ขอเพียงแต่ให้มีทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้น สุภาษิต 20:30 ยังแถมข่าวดีอีกว่า “การเฆี่ยนที่ให้เป็นบาดแผลก็ชำระความชั่วเสีย การโบยตีกระทำให้ส่วนลึกที่สุดสะอาดสะอ้าน” บางทีคุณอาจได้ประสบกับความจริงในข้อนี้เข้าแล้ว บางทีมันต้องใช้ประสบการณ์เจ็บปวดถึงจะทำให้เราปรับเปลี่ยนอะไร ๆ ที่ทำอยู่ได้ พูดอีกอย่างคือ คนเราไม่ยอมเปลี่ยนง่าย ๆ เวลาเห็นแสงสว่างเหมือนกับเวลาที่รู้สึกร้อน ทำไมน่ะหรือ!
Leave a Reply